รวมปาฐกถาภาษาไทย
ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง การพัฒนาคนและสังคมในทศวรรษหน้า
โดย นายอานันท์ ปันยารชุน วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ ณ
อาคารฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพฯ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ในวันนี้ผมต้องขอขอบคุณหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรือเรียกง่าย ๆ ว่าสภาพัฒน์ ที่ได้กรุณาเชิญผมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสัมมนาเรื่อง
คนกับการพัฒนาชนบท โดยเฉพาะได้ให้เกียรติผมมากล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง การพัฒนาคนและสังคมในทศวรรษหน้า
ซึ่งนับเป็นหัวข้อเรื่องที่สำคัญและเหมาะสมสอดคล้องกับยุคสมัยในขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่
๒๑ ที่กำลังจะมาถึงนี้ วันนี้ผมจะขอพูดหลายเรื่องครับ
แต่การพูดของผมนั้นคงจะมีลักษณะเป็นการคิดดัง ๆ มากกว่า เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมจะพูดในวันนี้ไม่ใช่ผมเป็นเจ้าของความคิด
แต่เป็นสิ่งที่ผมอยากจะพูด เป็นสิ่งที่ผมอยากกระตุ้นจิตสำนึกตลอด กระแสความคิดของท่านผู้มีเกียรติในที่นี้
ซึ่งหวังว่าจะบังเกิดเป็นความคิดร่วมกัน จนสามารถนำไปสู่ขั้นการปฏิบัติในระยะต่อไป ท่านผู้มีเกียรติครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมจะพูดนี้ คงไม่ใช่เรื่องถูกต้องหรือสมบูรณ์ทั้งหมด แต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่ผมพูดไปนั้น
เมื่อท่านกลับไปบ้านในวันนี้แล้วนำไปคิดต่อ นำไปสานต่อ ผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่สมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ในปัจจุบัน
ผมยังได้รับเกียรติเรียกว่า อดีตนายก แต่ก่อนผมไม่ค่อยชอบว่า ทำไมต้องอดีตนายก
แต่ฟัง ๆ ไปแล้ว ผมชอบ อดีต นะครับเพราะเป็นการย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า ผมเป็นคนในอดีต
ในเรื่องของตำแหน่ง ในเรื่องของการทำงาน แต่ผมจะไม่เป็นคนในอดีต ในเรื่องของ ความคิด
ทั้งนี้ความคิดความอ่านของผมจะไม่ได้ผูกพันกับเวลาไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน แต่เป็นความคิดความอ่านที่ผมอยากจะเห็นให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เมื่อดูภาพสังคมไทยโดยรวมแล้ว
ผมเห็นว่า เป็นสังคมที่มีส่วนดีอยู่มาก เป็นสังคมที่เราจะต้องอุ้มชูต่อไป แม้ในสังคมจะมีหลาย
ๆ สิ่งที่บกพร่องมีจุดอ่อน บางกลุ่มในสังคมมักจะเอารัดเอาเปรียบ ความยากจนของคนในชนบทที่รอคอยรับการแก้ไขไม่น้อยกว่า
๑๐ ล้านคน ความอยุติธรรมก็ยังมีอยู่มากในสังคมนี้ แต่โดยส่วนรวมแล้ว ผมยังเห็นว่าเป็นสังคมที่ก้าวหน้าพอประมาณเป็นสังคมที่ให้ความสุขความเจริญแก่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่มีสังคมใดในโลกนี้ที่มีความดี
ความถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สังคมทุกสังคมในโลกนี้เป็นสังคมที่มีชีวิต ความมีชีวิตของสังคมนั้นแหละครับที่ทำให้เรามีมันสมองที่ทำให้เราคิดอ่าน
แต่ความคิดอ่านจะต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและข้อมูลที่สมบูรณ์ครบถ้วน มองเห็นผลประโยชน์ร่วมกัน
และทำผลประโยชน์ร่วมกัน การเอาแต่ใจตัวเอง คิดแต่ประโยชน์ตัวเองข้างเดียว มองเข้าข้างพรรคพวกพ้องทั้งหลายเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเห็น
เราเกิดมาในสังคมที่ต้องการเปลี่ยนแปลง เราเกิดมาในสังคมที่ต้องการให้วันพรุ่งนี้
ดีกว่าวันนี้ วันมะรืนดีกว่าพรุ่งนี้ ท่านผู้มีเกียรติครับ
การพัฒนาประเทศไทยในระยะ ๓๐ - ๔๐ ปีที่ผ่านมานั้น เราประสบกับความสำเร็จในการยกฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยให้สูงขึ้นกว่าเดิมประมาณ
๓๐ เท่า จากรายงานของธนาคารโลก (World Bank Atlas 1996) ที่ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้
ได้ชี้ว่าในช่วงระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๘๕ - ๑๙๙๔ นั้น ประเทศไทยมีอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงที่สุดในโลก
และมีบทวิจารณ์จากนักวิชาการจำนวนมากว่า ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ หรืออีก ๒๕ ปี ข้างหน้าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะใหญ่โตเป็นอันดับ
๘ ของโลก ใหญ่กว่าเศรษฐกิจของประเทศอังกฤษและเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศสเสียอีก การที่เรามีเศรษฐกิจโตขึ้นมานั้น
กล่าวกันว่า เป็นเพราะโดยพื้นฐานแล้วสังคมไทยมีลักษณะที่เปิดกว้าง มีความยืดหยุ่น
สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีพอสมควร ประกอบกับที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการทุ่มเทการลงทุนด้านบริการพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
การปรับโครงสร้างทั้งทางด้านการเกษตร และทางอุตสาหกรรมมาอย่างต่อเนื่อง และเรายังมีนักธุรกิจ
นักลงทุนที่มีความสามารถ จึงทำให้เศรษฐกิจของเราโตขึ้น แม้เรามีความเจริญทางเศรษฐกิจค่อนข้างไปเร็ว
มีขนมเค้กใหญ่ขึ้นจริง ดังที่มีการเปรียบเทียบกันอยู่บ่อย ๆ แต่ปัญหาที่เป็นอยู่คือ
มีคนได้กินกันทั่วถึงหรือเปล่า ขนมเค้กที่โตขึ้นแบ่งกันกินอยู่แต่ในกลุ่มคนที่มีรายได้สูงสุดเพียง
๒๐ เปอร์เซ็นต์ นับวัน ๆ คนกลุ่มนี้ มีแต่จะได้รับก้อนเค้กที่ใหญ่ขึ้น หรือถ้าดูตามสถิตินะครับ
คนไทยที่อยู่ในระดับที่เรียกว่าจน เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ก็มี ๑๐ ล้านคน ปัจจุบันก็ยังมีอยู่กว่า
๑๐ ล้านคน ตัวเลขไม่ได้ลดลงไป จริงอยู่มาตรฐานการครองชีพของคนจนเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้วกับขณะนี้
อาจจะเปลี่ยนไป แต่มาตรฐานความจนนั้นก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปทุก ๆ ปี เช่นเดียวกัน การคาดหมายเศรษฐกิจของไทยว่าจะใหญ่เป็นอันดับ
๘ ของโลกจะเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร ตราบใดที่การพัฒนาของไทยยังเป็นไปเหมือนในอดีตยังใช้ระบบเดิม
ยังใช้ความคิดเดิม ไม่มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการปรับปรุงคุณภาพคน เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารให้ก้าวทัน
สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ ผมคิดว่าเราคงยากที่จะไปถึงจุดนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะกล่าวคือ
ทุกประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมักจะมีปัญหาสังคมตามมามากมาย ถ้าหากเรามองแต่ทางด้านเศรษฐกิจอย่างเดียว
ไม่ได้มองด้านสังคม จะเกิดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมภายในประเทศมากขึ้น แต่ถ้ามองแต่ทางด้านสังคมเพียงด้านเดียวก็จะมีปัญหาหนัก
ถ้าไม่มีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจควบคู่กันไป ดังนั้นการพัฒนาที่ถูกต้องก็คือการดำเนินการไปพร้อม
ๆ กันแบบ เดินสายกลาง ประเด็นสำคัญที่คนในสังคมไทยจะต้องช่วยกันพิจารณา
คือทำอย่างไรจึงจะทำให้เกิดความร่วมมือจากทุก ๆ ฝ่ายในสังคมให้หันมาเดินสายกลางพร้อม
ๆ กันได้ ทำอย่างไรจึงจะทำให้นักธุรกิจ นักอุตสาหกรรมของไทยเรา มีความรู้สึก ความนึกคิด
จิตวิญญาณทางด้านความรับผิดชอบ ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม กันมากขึ้น กล่าวคือ การดำเนินธุรกิจหรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจใด
ๆ ต้องคำนึงถึงต้นทุนทางด้านสังคม ต้นทุนทางด้านทรัพยากร สิ่งแวดล้อมมากกว่าในระยะที่ผ่านมา
ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนกลุ่มนี้ นึกอยู่เสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปได้สร้างปัญหาให้กับสังคมไทยเพิ่มขึ้นหรือเปล่า
หรือสิ่งที่ทำไปนั้นจะเป็นการช่วยสังคมให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน
กลุ่มทางด้านนักคิด นักสร้างสรรค์สังคม NGO หรือกลุ่มใด ๆ ที่เน้นเรื่องทางสังคม
ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขการสร้าง ผลประโยชน์เพื่อส่วนรวม และ ผลกำไรทางเชิงธุรกิจ
เพราะถ้าหากไม่มีการสร้างกำไรทางด้านเศรษฐกิจ ก็ไม่สามารถเอาเงินมาช่วยทางด้านสังคมได้
จะเลือกไปทางหนึ่งทางใดไม่ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทำอย่างไรจึงจะทำให้คนไทยในสังคมยึดทาง
สายกลาง เป็นแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ ในความคิดเป็นของผม
นอกจากเราต้องพยายามสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สามารถทำให้เรายืนอยู่บนเวทีโลก
โดยรัฐบาลเป็นเพียงผู้กำกับดูแลให้ภาคเอกชนเข้าดำเนินการไป อย่าไปควบคุมเขา ลดการผูกขาดผลประโยชน์ด้านอุตสาหกรรม
ให้เกิดการแข่งขันมากขึ้น ให้มีคนกินเค้กที่โตขึ้นกันมากขึ้น ดูแลผลประโยชน์ของผู้อุปโภคบริโภค
สร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม แล้วเรายังต้องการสังคมที่สงบสุข มีเสรีภาพ มีความยุติธรรม
เราต้องการเห็นคนทุกคนมีโอกาส และความสามารถในการประกอบอาชีพ เราต้องการเป็นคนไทยมีครอบครัวที่อบอุ่น
อยู่ภายใต้ชุมชนที่เข้มแข็ง ในสิ่งแวดล้อมที่ดี มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทั้งระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์
และมนุษย์กับธรรมชาติ ท่านผู้มีเกียรติครับ
ประเทศไทยในยุคปัจจุบัน ที่เรากำลังเผชิญอยู่คือ คนไทย สังคมไทย โดยทั่วไปยังขาดการเรียนรู้
การคิด การวิเคราะห์ เรามีช่องว่างในเรื่องของความคิดอ่านหรือแนวความคิดและค่านิยมต่าง
ๆ ระหว่างชาวกรุงกับชาวชนบท ความเอื้ออาทรที่เคยมีต่อกันลดลง คนไทยมุ่งไปสู่วัตถุนิยม
บริโภคนิยมมากขึ้น สังคมไทยคลายพลังลง การแยกแยะความดี ความเลว ความถูก ความผิด ความเหมาะ
ความควรในสังคมรอบตัวเราไม่ออก คุณค่าของวัฒนธรรมไทย คุณธรรม ภูมิปัญญาที่ดีแต่เก่าก่อนถูกมองข้ามไป
คุณภาพชีวิตของคนไทยในภาพรวมด้อยกว่าประเทศคู่แข่งขัน ระบบและกลไกลต่าง ๆ ทางสังคมรวมทั้งระบบราชการยังไม่สามารถก้าวได้ทันกับสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้เกิดสภาพปัญหาความขัดแย้งกันในสังคมเพิ่มขึ้น คนไทยในชนบท
นับเป็นคนในสังคมที่ยังขาดโอกาสได้รับการพัฒนาความรู้ ความสามารถ โดยเฉพาะ กลุ่มเด็กในวัยเรียน
ยังขาดโอกาสในการศึกษาต่อสูงกว่าชั้นประถมเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับเด็กในเขตเมือง
และช่องว่างดังกล่าวนับวันจะถ่างกว้างยิ่งขึ้น หากพวกเรายังไม่ให้ความสนใจที่จะแก้ไขอย่างจริงจังต่อไป สิ่งต่าง
ๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นโจทย์ที่ทำให้ทุกคนต้องหันมาทบทวนบทบาทของตนเอง รวมทั้งทิศทางในการพัฒนาคนและสังคมของประเทศว่า
เราพร้อมแล้วหรือยังกับการเผชิญปัญหาทางสังคมที่ท้าทายที่เกิดขึ้นจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกและของสังคมไทย ผมเป็นคนมองโลกในแง่ที่ดี
และผมมีความแน่ใจว่าปัญหาของสังคมไทยนั้น ไม่ได้หนักหน่วงไปกว่าปัญหาของสังคมอื่น
ๆ ในโลก หรือในประเทศที่พัฒนาแล้ว เจริญแล้ว ในชีวิตของผมเมื่ออยู่ในประเทศต่าง ๆ
ทั้งในอังกฤษ อเมริกาหรือในแคนาดา ที่ผมเดินทางไป ผมได้สัมผัสกับปัญหาต่าง ๆ ของประเทศดังกล่าวมากมาย
จึงได้ตระหนักว่าปัญหาในประเทศชาติของเรา ไม่ได้มีความแตกต่างหรือมีลักษณะที่แก้ไขไม่ได้
ขอแต่เราต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ต้องยึดถือคุณธรรมมีความอดทน รวมทั้งต้องกล้าคิด
กล้าที่จะเปลี่ยนสังคมในทางสันติ ผมเชื่อในเรื่องของ
การเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเพื่อที่ต้องการจะให้เปลี่ยนแปลง แต่เปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะได้ปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมปัจจุบันกับสังคมในอนาคต
ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเพื่อสังคมปัจจุบัน แต่เปลี่ยนแปลงให้ทันกับสังคมใน ๑๐ ปี ๒๐ ปี
ข้างหน้า ในสายตาของผม
การที่เราจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาสังคมได้นั้น เราต้องมุ่งไปพัฒนา คน ทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม
มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตสิ่งแวดล้อม คุณภาพทางการศึกษาของคนทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะที่ผมอยากเน้นคือ
ใน กลุ่มเด็กในวัยเรียน ที่เป็นความหวังและอนาคตของประเทศชาติ แต่ปัญหาขณะนี้คือระบบการศึกษาของไทยยังเป็นระบบที่ยังตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและของโลกไม่ทันการณ์
ยังเป็นระบบที่ยึดติดกับธรรมเนียมประเพณีเก่า ๆ ยังเป็นระบบที่ไม่มีการเปิดเพียงพอที่จะให้กระแสความคิดอื่น
ๆ ที่จะปรับปรุงคุณภาพของคนไทยเพื่อรองรับกับสถานการณ์ของสังคมไทยในภายหน้าได้ ระบบการศึกษาของไทยที่ผ่านมา
ยังไม่สามารถนำระบบสังคมไทยไปสู่สังคมที่มีจริยธรรม คุณธรรมไปสู่การแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลกหรือของภายในประเทศไทยยังเป็นระบบที่ไม่สามารถที่จะผลิตคนดีให้แก่สังคมได้เพียงพอ
และความสามารถในอดีตที่จะผลิตคนเก่งก็ลดน้อยลงไปด้วย ปัญหาประการหนึ่งคือ
รัฐยังควบคุมระบบการศึกษาอย่างค่อนข้างจะแน่นแฟ้น คุณภาพทางด้านการศึกษาของเรายังด้อยอยู่มาก
การศึกษาในระบบโรงเรียนประถม มัธยม วิทยาลัยเทคนิค มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ยังด้อยพัฒนามาก
หรือการศึกษานอกระบบยังด้อยพัฒนามาก ทิศทางที่ผมอยากจะเป็นคือ
ระบบการศึกษาของไทยต้อง เปิด มากกว่านี้ ต้อง โปร่งใส มากกว่านี้
รัฐจะต้องมีทิศทางที่แน่นอนว่าจะผ่อนคลายการควบคุม ไปสู่สถานภาพเพียงแต่ทำหน้าที่กำกับดูแล
ระบบใดก็ตามที่รัฐเข้าไปควบคุมมากเกินขอบเขต ผมคิดว่ามีแต่ทางเสีย รัฐจะต้องเปิดให้ประชาชนหรือท้องถิ่นเข้ามาดูแลในเรื่องการศึกษาหรือการพัฒนาคนและสังคมด้านอื่น
ๆ ของเขามากขึ้น คนในกระทรวงศึกษาฯ ในมหาวิทยาลัย จะต้องเปลี่ยนความคิด คนที่อยู่นอกวงการศึกษาที่สามารถจะเกื้อกูลอำนวยระบบการศึกษาให้ดีจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
ผมอยากเห็นคนรวยในเมืองไทยเอาเงินมาตั้ง มูลนิธิเพื่อการศึกษา อย่าง เมืองนอกเขาทำกัน
เช่น มูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ มูลนิธิฟอร์ด อเมริกาเจริญได้เพราะคนลงทุนด้านการศึกษา
ปัจจุบันเมืองไทยก็มีมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สังคมไทย
จะต้องมีการลงทุนทางด้านการศึกษากันอย่างจริงจัง ต้องมีการปฏิรูประบบและ โครงสร้าง
ต้องมีการปฏิรูปหลักสูตร ความคิดความอ่านของผู้ปฏิบัติงานและครูบาอาจารย์ สังคมใดก็ตามที่มีความพึงพอใจในระบบการศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน
และไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง ปฏิรูปแล้ว สังคมนั้นไม่มีทางเจริญได้ การเปลี่ยนแปลงในลักษณะข้างต้นอาจต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงกระแสความคิดจากภายนอกเข้ามากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น
เราจะเห็นได้ว่าประเทศญี่ปุ่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา
ประเทศในยุโรปทุกประเทศ เขาจะพูดถึงเขาจะทบทวนศึกษา อภิปรายกันอยู่เสมอว่าระบบการศึกษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นเหมาะสมกับสภาวการณ์กับในอนาคตอันใกล้หรือเปล่า
หลักสูตรต่าง ๆ ที่เราใช้จะต้องมีการปรับปรุงอยู่เสมอ วิธีการต่าง ๆ ที่เราใช้ในอดีต
ก็จะต้องปรับปรุงอยู่เสมออย่าไปยึดถือของเก่า ๆ และมิใช่ว่าของเก่า ๆ หรือความคิดเก่า
ๆ นั้นจะไม่ดี หลายอย่างเป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งที่ถูกต้องกับสภาวการณ์ เมื่อ ๑๐
ปี ๓๐ ปี ที่แล้ว แต่ปัจจุบันเราจะต้องคิดกันว่าทำอย่างไรที่จะจัดวางโครงสร้าง วางระบบ
วิธีการต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบันและเหมาะสม สอดคล้องกับทิศทางของสังคมไทยที่จะเดินไปข้างหน้า
ในระยะ ๑๐ ปี ๒๐ ปี ข้างหน้า สังคมไทยจะต้องมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ
พัฒนาอุตสาหกรรม ให้ยกระดับคุณภาพที่สูงขึ้น สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้มากขึ้น โดยมี
กลไกทางเศรษฐกิจ ให้เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมมากขึ้น รวมทั้งต้องมีการสร้าง
กลไกทางสังคม ในการสร้างกระแสจิตสำนึกความรับผิดชอบทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของแต่ละคน แต่ละครอบครัว แต่ละชุมชนดี ขึ้น
ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนในสังคมมีความสุขร่วมกัน ผมยอมรับครับ
การเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของง่าย จะต้องใช้เวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี แต่ถ้าหากเราไม่เริ่มต้นวันนี้
เราจะถ่วงไปเรื่อย ๆ การเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาคุณภาพคนและสังคมอย่างสงบก็ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อย
ๆ เช่นกัน เราอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง เราจะต้องมีการสร้าง กระแสของสังคม
ให้มีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่สมบูรณ์บนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ใจ
และบนพื้นฐานของการที่ไม่มีอคติไม่ว่าทั้งในสิ่งเก่า ๆ หรือสิ่งใหม่ ๆ สุดท้ายที่ผมอยากจะกล่าวต่อไปคือ
แม้เราจะมีการร่างแผนพัฒนาคนและสังคมออกมาสวย เป้าหมายสวย มีแผนงานสวย แต่ถ้าเรายังใช้กลไกรัฐบาลที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
หน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคนและสังคม ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาฯ
สาธารณสุข มหาดไทย กระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานใหม่
รวมทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้ประชาชน ชุมชนในท้องถิ่น องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมกันคิด
ร่วมกันทำอย่างจริงจังแล้ว การพัฒนาคนและสังคมตามแผนที่ได้มีการร่างกันไว้ ก็คงอยู่แต่ในความฝันเท่านั้น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยุคใหม่
ได้หันมาให้ความสนใจในเรื่องการพัฒนาคนและสังคม และได้เชิญผมมาเป็นประธานอนุกรรมการชุดนี้
ซึ่งคณะอนุกรรมการได้ช่วยกันร่างแผนพัฒนาคนและ สังคมที่ดีมากออกมาฉบับหนึ่ง จะใช้เป็นแนวทางหลักของแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่ ๘ ต่อไป แต่แผนนี้จะได้รับการนำไปปฏิบัติมากน้อยแค่ไหนคงเป็นเรื่องที่เราจะต้องติดตามผลให้ชัดต่อไป ผมอยากจะขอฝากข้อคิดเห็นทั้งหมดนี้ให้ท่านไปประกอบการพิจารณาและคิดต่อไป
เพื่อความยั่งยืนสถาพรของสังคมไทยด้วยครับ |