รวมปาฐกถาภาษาไทย
คำกล่าวบรรยายพิเศษ ในการประชุมวิชาการ เรื่อง
ความสำเร็จและบทเรียนของประเทศต่าง ๆ ในการสร้างธรรมาภิบาล และการป้องปรามทุจริตคอรัปชั่น
โดย นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ ห้องพิมานเมฆ โรงแรม เดอะ แกรนด์ กรุงเทพฯ Mr.
Robert England ท่านวิทยากร และท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
โดยการสนับสนุนของ UNDF และกรมวิเทศสหการ ได้จัดการสัมมนาเพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการสร้างธรรมาภิบาลและการป้องกัน
ตลอดจนแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นขึ้นในวันนี้ การสัมมนาในลักษณะนี้และการที่การสัมมนาได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมการสัมมนา
ส่งสัญญาณที่ดี เพราะแสดงว่า หนึ่ง เราตระหนักว่า ธรรมาภิบาลเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งเสริมสร้างให้มีขึ้นในสังคม
สอง เรายอมรับว่าการทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทยเป็นปัญหา และถึงเวลาแล้วที่ปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ผมเกิดปี
๒๔๗๕ ก่อนรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๑ ของราชอาณาจักรไทยประมาณ ๔ เดือน ตลอดชีวิตของผม ผมเห็นรัฐธรรมนูญมาแล้ว
๑๕ ฉบับ ซึ่งในอดีตมักจะถูกเขียนขึ้นและถูกฉีกทิ้งได้ง่าย ๆ สาเหตุการเขียนและการฉีกรัฐธรรมนูญแต่ละครั้ง
ก็มักเป็นไปเพื่อรักษาอำนาจเฉพาะกลุ่ม แต่กระนั้น ชีวิตของคนไทยก็ยังดำเนินต่อไปอย่างปกติ
แม้จะมีการท่องจำกันขึ้นใจว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ประชาธิปไตยแบบนี้ผมขอเรียกว่าประชาธิปไตยตีตรา
คือตีตราไว้เฉย ๆ ให้รู้ว่าบ้านเมืองนี้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยในรูปแบบ
แต่ในสาระและกระบวนการยังเคยชินอยู่กับรัฐธรรมนูญอีกฉบับหนึ่ง ไม่มีใครร่างไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
แต่บังคับใช้กันอยู่ทั่วไป เป็นกติกาที่ว่าด้วยการมีพรรคพวก การอุปถัมภ์ค้ำจุนที่เกินขอบเขตระหว่างผู้มีอำนาจทางการเมือง
ข้าราชการ และกลุ่มนักธุรกิจระดับบน เป็นระบบสัมพันธ์ที่คนนอกวงจรอำนาจไม่มีส่วนรู้เห็น
เอื้อต่อการใช้อำนาจโดยมิชอบ ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า
การที่สังคมหนึ่งสังคมใดจะพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้องและยั่งยืนนั้น ประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลจะต้องเป็นขาทั้งสองข้างที่พาเดินไปด้วยกัน
ประชาธิปไตยที่ขาดธรรมาภิบาล ยากที่จะเข้าถึงสาระของประชาธิปไตยและทุกข์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง
และถ้าไม่มีประชาธิปไตยก็ยากที่จะให้ธรรมาภิบาลเกิดขึ้นหรืองอกงามได้ การเป็นประชาธิปไตยแต่ในรูปแบบทำให้เราเสียโอกาสที่จะใช้คุณประโยชน์จากความเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างเต็มที่
ประชาธิปไตยในตัวของมันเองเป็นแนวคิดที่เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน
จึงให้สิทธิและให้อิสรภาพ ให้ทุกกลุ่มได้แสดงความต้องการ ทำให้สังคมมีโอกาสพูดคุย
แสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง รับรองช่องทางที่จะประสานข้อขัดแย้งขจัดความไม่ยุติธรรมในสังคม การขาดธรรมาภิบาลทำให้เราขาดกลไกและเครื่องมือที่จะใช้คุณประโยชน์จากการเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างจริงจัง
การขาดความโปร่งใสตรวจสอบได้ ขาดกฎหมายและระบบยุติธรรมที่อิสระ ทันสมัย ปฏิบัติใช้เท่าเทียมกันสำหรับทุกคน
ขาดเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความรับผิดชอบ ขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกภาค สิ่งเหล่านี้ทำให้การพัฒนาไม่ได้ประสานประโยชน์ของคนทุกกลุ่ม
จึงนำไปสู่ข้อขัดแย้งและความไม่สมดุล สำหรับผมสิ่งที่น่ากลัวสำหรับสังคมไทย
ก็คือการที่เราขาดกระบวนการทางสังคมที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไข ยุติข้อขัดแย้งและความไม่ยุติธรรมซึ่งการทุจริตคอรัปชั่นก็นับเป็นความขัดแย้งและความไม่ยุติธรรมในระบบรูปแบบหนึ่ง
ผมเชื่อว่าถ้าสังคมไทยสามารถผสมผสานคุณประโยชน์ของประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลได้อย่างลงตัวแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวสำหรับผมนี้ก็น่าที่จะบรรเทาเบาบางลงไป แม้ว่าสังคมไทยจะมีระเบิดเวลาฝังอยู่ค่อนข้างมาก
แต่เรื่องหนึ่งที่ผมยินดีก็คือการเกิดรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นตัวอย่างของการประสานประชาธิปไตยกับธรรมาภิบาล
ทั้งในกระบวนการร่างและในสาระ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเกิดจากการเรียกร้องของภาคประชาชน
ผ่านกระบวนการทางรัฐสภา ระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญ สิ่งที่เน้นมากที่สุดก็คือกระบวนการที่เปิดเผย
และการมีส่วนร่วมของประชาชน มีการสัญจรไปทั่วประเทศ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มคนที่หลากหลาย
ว่าเขาขาดอะไรและเขาต้องการอะไร จากการใช้ชีวิตทุก ๆ วันอยู่ในสังคม ในสาระรัฐธรรมนูญวางรากฐานของธรรมาภิบาลไว้เต็มที่
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่บัญญัติรับรองเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม
มีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูล ร่วมตัดสินใจ ร่วมตรวจสอบและร่วมรับผล เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการปกครองจากประชาธิปไตยที่ผ่านตัวแทนมาเป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ประชาชนสามารถเข้าชื่อกันเสนอร่างกฎหมาย
ที่มีการวางกฎเกณฑ์ให้รัฐบาลสามารถขอทราบความเห็นชอบจากประชาชนได้ด้วยการลงประชามติ
ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับไหนกำหนดไว้เป็นเงื่อนไขให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมให้ข้อคิดระดับนโยบายอย่างเป็นทางการผ่านองค์กรที่ไม่เป็นของรัฐ
เช่น สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับไหนกระจายอำนาจการปกครองท้องถิ่นอย่างอิสระ
ให้สิทธิกับชุมชนในการจัดการศึกษา การบำรุงรักษาจารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น
การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม ส่งผลดีต่อการพัฒนาอย่างน้อย ๒ ด้าน คือ ด้านที่หนึ่ง
เป็นการปรับโครงสร้างอำนาจและความสัมพันธ์ที่กระจุกตัว ให้มีอำนาจของภาคประชาชนมาคานไว้
การรวมกลุ่มในภาคประชาชนจะนำไปสู่ผลดี ด้านที่สอง นั่นคือการบ่มเพาะภาคประชาสังคมซึ่งยังอ่อนแอในสังคมไทย รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันสร้างความโปร่งใสและกำหนดให้การเปิดเผยตรวจสอบได้เป็นคุณค่าและกติกาสำคัญในการบริหารปกครอง
การรับรองสิทธิของบุคคลในอันจะได้รับข้อมูลข่าวสารสาธารณะ และได้รับคำชี้แจงเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐ
เป็นการสร้างความโปร่งใสที่ชัดเจนมาก พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารปี ๒๕๔๐ ทำให้เรามีสิทธิเรียกร้องข้อมูลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การใช้สิทธิขอรับทราบคะแนนสอบเข้าโรงเรียนสาธิตเกษตร โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก
เพราะเป็นเรื่องที่เราทุกคนอาจมองข้ามได้ง่าย ๆ กติกาด้านความโปร่งใสในลักษณะนี้เป็นทางเลือกให้คนที่คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
สามารถหาข้อมูลและสร้างความเป็นธรรมต่อไปได้ อีกประเด็นหนึ่งที่หลายประเทศยังถกเถียงกันอยู่
แต่ประเทศไทยบังคับใช้แล้ว ก็คือการแสดงบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน และ ภ.ง.ด. ๙ ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และเจ้าหน้าที่ของรัฐในตำแหน่งสำคัญ ๆ ความโปร่งใสเต็มรูปแบบอย่างนี้ไม่เคยปรากฏให้เห็น
และความสามารถตรวจสอบได้ก็จะนำไปสู่การบังคับให้ต้องมีคนรับผิดชอบในสังคม หากพิจารณาในภาพรวมก็จะเห็นได้ว่ากติกาในรัฐธรรมนูญ
เหมือนรูปต่อขนาดใหญ่สถาบันหนึ่งเกิดได้ก็ด้วยอีกสถาบันหนึ่ง แต่ละสถาบันก็มีการคานอำนาจและตรวจสอบกันอยู่
เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. มีอำนาจ มีความเป็นอิสระเต็มที่
แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งและมีสิทธิถูกถอดถอนโดยวุฒิสภา ผู้เลือกตั้งวุฒิสมาชิกก็คือประชาชน
ในความเป็นอิสระ ปปช. ยังต้องอาศัยกลไกวุฒิสภาหรือศาลรัฐธรรมนูญในการเอาผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
และหากระบบเกิดสมยอมกัน ไม่มีการคานอำนาจหรือตรวจสอบอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ประชาชนก็ยังมีช่องทางที่เป็นทางการสำหรับรับร้องทุกข์
เช่นผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา หรือแม้แต่จะเข้าชื่อกัน ๕๐,๐๐๐ คนยื่นเสนอให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับสูง
การใช้สิทธิตรวจสอบและร้องขอความรับผิดชอบนี้เกิดขึ้นแล้วนะครับ ในกรณีการทุจริตยาแต่ก็จบลงไม่สวยงามเท่าไหร่
รัฐธรรมนูญสร้างระบบผู้พิพากษาและตุลาการที่เป็นอิสระ
มีการแยกอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและศาลยุติธรรม จัดโครงสร้างคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมให้ตรวจสอบได้
และมีตัวแทนจากผู้พิพากษาทุกระดับชั้น หน่วยธุรการของศาลก็เป็นอิสระจากฝ่ายบริหาร
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่าการสร้างธรรมาภิบาลและการสร้างประชาธิปไตย
สามารถลดโอกาสความไม่ยุติธรรมในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการทุจริตคอรัปชั่นได้ แน่นอนครับในเรื่องนี้ยังมีมาตรการอีกมากที่จำเป็นต้องนำมาใช้
ซึ่งก็เป็นโจทย์ของทุกท่าน แต่การเปิดเผยข้อมูล การติดตามตรวจสอบจากสื่อมวลชน การมีระบบตรวจสอบถอดถอนอย่างเป็นทางการ
ก็ช่วยลดแรงจูงใจและเพิ่มความเสี่ยงไปได้ส่วนหนึ่ง เวลานี้ผมเชื่อว่าคนไทยหลายคน
กำลังจับตามองบทบาทของ ปปช. ปปป. เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็นเสือกระดาษ บัดนี้ ปปช. ก็ได้มีอิสระ
มีอำนาจที่มิได้จำกัดอยู่เพียงการชี้มูล แต่มีอำนาจไต่สวน สั่งหาพยานเอกสารและบุคคล
เป็นผู้ควบคุมกลไกที่สร้างขึ้นใหม่เกี่ยวกับการแสดงบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน และ ภ.ง.ด.
๙ จะเห็นว่า ปปช. มีอำนาจมากขึ้น แต่ก็มีหน้าที่มากขึ้นด้วย ความคาดหวังจากผู้คนก็สูงขึ้น
ผมคิดว่าสิ่งสำคัญในระยะต่อไปคือการที่ ปปช. จะต้องสามารถสร้างและดำรงความศรัทธาจากผู้คนให้ได้
ผมอยากเห็น ปปช. มีบทบาทในเชิงรุกไม่ใช่รุกในเชิงปราบปรามเท่านั้น เป็นเชิงรุกในการพยายามเข้าใจสภาพปัญหาในการป้องกัน
ในการประชาสัมพันธ์ ทำความเข้าใจกับคนหมู่มาก ว่าการกระทำอย่างใดคือคอรัปชั่น และผลเสียที่จะสะท้อนกลับมากระทบถึงผู้ให้สินบนคืออะไร
คนหลายคนทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับเขาไม่รู้นะครับว่าสิ่งที่เขาทำคือการคอรัปชั่นแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ผมก็ไม่สิ้นหวังว่าเรื่องนี้จะต้องเป็นปัญหาถาวรในสังคมของเรา รัฐธรรมนูญไม่ใช่จุดเริ่มต้นและไม่ใช่จุดสิ้นสุด
เป็นเพียงแต่ส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างธรรมาภิบาล ยังมีอีกหลายมิติที่ผมคิดว่าสังคมไทย
ซึ่งก็คือเราทุกคนน่าจะใส่ใจเพื่อให้กระบวนการได้สานต่อไปอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ประการแรก
เราต้องเริ่มสร้างความเข้าใจในสิทธิหน้าที่และศักดิ์ศรี ที่รัฐธรรมนูญได้รับรอง
ประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลเป็นเรื่องสองทางนะครับ ถ้าจะรอให้มีคนอื่นมาให้สิทธิแต่คนในสังคมไม่อาศัยหนทางใช้สิทธิที่หยิบยื่นให้
ยังไปแอบอิงกับระบบอุปถัมภ์ที่ไม่เป็นทางการ เราก็จะเป็นผู้เสียสิทธิเอง เพราะในระบบเช่นนั้นไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าเรามีศักดิ์ศรีและจะได้รับสิทธิอย่างที่เราพึงได้รับ ประการที่สอง
เราต้องสร้างเงื่อนไขกระจายให้คนหมู่มากเข้าใจว่าสิทธิและช่องทางที่มีคืออะไร
เงื่อนไขนี้ก็คือการศึกษา การยกระดับเศรษฐกิจของคนที่ด้อยโอกาสให้ทัดเทียมกับคนอื่น
ๆ ในสังคม การให้ทางเลือกในการทำมาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต การยกระดับสาธารณสุข ระดับการอ่านออกเขียนได้
ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสให้ทุกคน ทุกกลุ่ม และทุกภาค เป็นอิสระทั้งทางความคิดและการตัดสินใจ ประการที่สาม
เราต้องสร้างความเข้าใจให้ถูกต้องว่าในสังคมนี้อะไรถูกอะไรผิด ดีหรือเลว สำคัญหรือไม่สำคัญ
สิ่งที่ผมเห็นว่ามีค่ายิ่งกว่าการไม่กล้าทำผิด ก็คือความรู้สึกลึก ๆ ในใจว่าทำไม่ลง
ทำแล้วมันละอายใจเอง เพราะการต่อสู้ในใจคนเป็นเรื่องสำคัญมาก และเป็นเครื่องมือกลั่นกรองการกระทำในด่านแรก
การเร่งส่งเสริมระบบคุณค่าจึงเป็นสิ่งจำเป็น สังคมต้องเร่งสร้างทัศนคติและพฤติกรรมใหม่
ของบางอย่างไม่ต้องตราไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็อยู่คงทน สิ่งที่ผมอยากจะเห็นคือการปฏิบัติตามคุณค่าที่ถูกต้องโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ
อย่างในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เขาปลูกฝังระบบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามาเป็นเวลาหลายสิบปี
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ไม่มีอำนาจสั่งการก็จริง แต่ก็เป็นที่เกรงใจเพราะสามารถสร้างศรัทธาจากสังคมได้
ระบบคุณค่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ จะสามารถนำไปสู่การสร้างจิตวิญญาณของสังคมมีอิทธิพล
แม้ในการกำหนดนโยบายของประเทศ วิธีการนำนโยบายไปปฏิบัติหรือแม้แต่ทิศทางการพัฒนา ประการสุดท้าย
ผมคิดว่าระยะนี้เราต้องติดตามตรวจสอบการนำกติกาหลักมาบังคับใช้ตอนนี้ฟันเฟืองต่าง
ๆ ของรัฐธรรมนูญกำลังเริ่มทยอยปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม เรากำลังจะมีองค์กรอิสระจัดสรรคลื่นความถี่
เรามีคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีศาลรัฐธรรมนูญ และกำลังจะมีวุฒิสภา ความแตกต่างข้อวิพากษ์วิจารณ์ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี
ผมชอบคุยกับคนที่เขาคิดอะไรไม่เหมือนผม สำหรับผมความขัดแย้งจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ
แต่วิธีการแก้ไขข้อขัดแย้งสำคัญกว่า ผมคาดหวังว่าในสังคมไทยยุคต่อไปไม่น่าจะมีคำว่าทางตัน
เพราะมีทางออกที่กำหนดไว้แล้วในกติกาหลัก ซึ่งสำหรับผมเป็นกติกาที่ดีควรค่าแก่การรักษาไว้ สิ่งที่ผมตั้งความหวังไว้กับประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลก็คือ
การเห็นโครงสร้างของอำนาจกระจายตัวออกมาจากกลุ่มฐานอำนาจเดิม ไปสู่กลุ่มคนทุกกลุ่มในประเทศอย่างแท้จริง
ให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงอำนาจการตัดสินใจระดับสูง ไม่ใช่ สูง เพราะคนทั่วไปเอื้อมไม่ถึง
แต่สูงเพราะมีความสำคัญ ทั้งธรรมาภิบาลและประชาธิปไตย ไม่ใช่ปลายทางในตัวเอง แต่เป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่สาระที่ยิ่งใหญ่กว่า
นั่นคือการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่คนทุกกลุ่ม ทุกชั้น จะมีโอกาสและมีอำนาจต่อรอง โต้แย้ง
และประสานประโยชน์กันอย่างสันติ ถ้าเรามีช่องทางให้กระบวนการนี้เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าเราได้สร้างความพอดี
เพราะจะไม่มีกลุ่มใดได้ทุกอย่าง และไม่มีกลุ่มใดเสียทุกอย่าง ทุกคนในสังคมจะมีโอกาสเท่ากัน
มือยาวเท่ากัน ได้มากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ศักยภาพ ทุกคนจะมีศักดิ์ศรีอย่างที่ควรจะเป็น
และสังคมจะเกิดความเสมอภาค สมดุลจนบรรลุเป้าหมายของธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง |