รวมปาฐกถาภาษาไทย การบรรยายพิเศษ
เรื่อง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยในสหัสวรรษหน้า โดย
ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี วันที่ ๒๕ ตุลาคม
๒๕๔๒ ใน สมัชชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
โครงร่างการบรรยาย -วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยที่ผ่านมา -มุมมองของประชาชนทั่วไป -มุมมองของผู้บริหารประเทศ -มุมมองของนักวิชาการ
-แรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
-สิ่งที่สะท้อนจากวิกฤษเศรษฐกิจในปี ๒๕๔๐ แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของโครงสร้างเศรษฐกิจ
และความอ่อนแอของสังคมและการเมือง -กระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่ประเทศไทย
ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น กระแสการค้าเสรี การแข่งขันจากต่างประเทศ การกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่
ความรวดเร็วของข่าวสารข้อมูลและการติดต่อสื่อสาร และพัฒนาการที่รวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ
-สัญญาประชาคมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป
-จากการเป็นแค่ผู้ให้กับผู้รับ มาเป็นผู้มีส่วนร่วมด้วยกัน
-สังคมไทยในอนาคต
-การรักษาสมดุลระหว่างการเป็นสังคมที่เปิดสู่โลกภายนอก
ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงต้องรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของสังคมไทยเอาไว้
-สังคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยใน ๒๐ ปีข้างหน้า
-สังคมไทยในอนาคตต้องอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสร้างความรู้
คู่ไปกับปัญญาที่สร้างสรรค์ เป็นรากฐานของการดำเนินชีวิตของคนไทย เป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประชาชน
และนำพาสังคมไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสามารถที่จะอยู่ร่วมกับสังคมโลก
ท่านรัฐมนตรีฯ แขกผู้มีเกียรติและผู้เข้าร่วมสมัชชาทุกท่าน ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญมาบรรยายในวันนี้
การจัด สมัชชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนา ครั้งนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ทุกฝ่ายมาร่วมกันคิดเพื่อมองอนาคตของประเทศไทย
โดยเชิญคนจากหลายสาขาอาชีพมาสร้างความเข้าใจ เพื่อมาร่วมกันคิดว่าประเทศไทยจะนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาเป็นตัวกลางสำคัญในการพัฒนาได้อย่างไร
การบรรยายในวันนี้ ทางผู้จัดได้มอบหมายให้ผมมาพูดในเรื่อง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยในสหัสวรรษหน้า
ผมคงต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ผมเป็นนักบริหารไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ การบรรยายในวันนี้คงเป็นมุมมองที่มาจากคนไทยคนหนึ่งที่อยู่ในสังคมไทยและได้เห็นได้ฟังสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทยมามาก
สำหรับการบรรยายผมคงเริ่มต้นจากการมองสิ่งที่ผ่านมา ก่อนจะมองไปยังอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยที่ผ่านมา
ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยที่ผ่านมา
คนทั่วไปมักมองว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ซับซ้อนเข้าใจยาก เช่น สูตรคณิตศาสตร์
ทฤษฎีฟิสิกส์ สูตรเคมี ชีววิทยา ห้องทดลอง ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องยนต์กลไกต่าง
ๆ นอกจากซับซ้อนและเข้าใจยากแล้ว คนส่วนใหญ่ยังมองว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ต่างชาติรู้ดีกว่าและทำได้เก่งกว่าเรา
ไม่ว่าจะเป็นวิทยาการแขนงต่าง ๆ หรือการผลิตสินค้าแบบอัตโนมัติทั้งโรงงาน หรือการให้บริการต่าง
ๆ เช่น การสื่อสารผ่านดาวเทียม การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง การขนส่งด้วยเครื่องบินเหนือเสียง
การสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยสำหรับใช้ป้องกันประเทศ และอื่น ๆ อีกมากมาย
คนส่วนใหญ่มักมองว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่ไกลตัวไม่ใช่เรื่องของชาวบ้านเป็นเรื่องของนักวิชาการเป็นเรื่องของผู้มีความรู้
คนที่เรียนได้ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่เรียนเก่ง ความเชื่อเหล่านี้ ทำให้คนไทยจำนวนมากรู้สึกว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของคนเก่งหรือคนมีความรู้เท่านั้น
แม้แต่นักวิทยาศาสตร์หรือนักวิจัยที่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีชื่อเสียงเป็นถึงระดับศาสตราจารย์
ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย ซึ่งน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับลูก ๆ ที่อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งเช่นเดียวกับพ่อแม่
แต่ลูกของท่านเหล่านี้จำนวนมากกลับไม่มีใครสนใจวิทยาศาสตร์หรือชอบที่จะเรียนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
เพราะอะไรทำให้เด็ก ๆ คิดไปอย่างนั้น พวกเขาไม่สนใจเรียนคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยาก
เรียนไปก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจว่ามีประโยชน์อย่างไร หรือจะเอาไปทำอะไร
ไม่เพียงแต่ทัศนคติของคนทั่วไปเท่านั้น ที่มองว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไกลตัวและเข้าใจยาก
ทำให้ไม่สนใจและอยากจะเรียนรู้หรือนำมาใช้ แม้แต่ผู้กำหนดนโยบายและผู้นำประเทศเองก็มีทัศนคติว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเพียงวิชาการแขนงหนึ่งเท่านั้น
ท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจชัดเจน และตระหนักว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุกด้าน
ถึงแม้ที่ผ่านมา ผู้บริหารประเทศไม่ได้ละเลยความสำคัญของการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ
แต่ก็ทำโดยทำกันไปเท่าที่จำเป็น การจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
การพัฒนากำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนาทั้งในภาครัฐและเอกชน
และการส่งเสริมการรับและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ก็ทำเพียงเท่าที่ทรัพยากรจะเอื้ออำนวยให้ทำได้
ยิ่งไปกว่านั้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยังคงถูกมองว่าเป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง
ๆ ในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
แต่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ปรากฎอยู่ในทุกสาขาการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นการเกษตร
อุตสาหกรรม บริการ พลังงาน สิ่งแวดล้อม การแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา หรือแม้แต่การเมืองการปกครองเอง
ก็ยังต้องอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปมีส่วนในการพัฒนาสังคม เช่น การใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสอบสวนในกระบวนการสอบสวนและพิจารณาคดี
หรือการทำสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในประเด็นต่าง ๆ เป็นต้น
ในส่วนของนักวิชาการเองวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ก็ยังคงเป็นการมองอยู่ภายในประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเองมากกว่าการมองออกไปยังสังคมและส่วนรวม
นักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์มักจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ตนเองสนใจมากกว่าเรื่องที่ประเทศและสังคมต้องการ
ถึงแม้การค้นคว้าหาความรู้หรือวิทยาการใหม่ ๆ ด้วยการวิจัยและพัฒนาจำเป็นต้องให้อิสระทางความคิดแก่ผู้ทำวิจัยก็ตาม
แต่ถ้าเรามีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด เราคงจำเป็นจะต้องเลือกโดยคำนึงถึงสิ่งที่สังคมจะได้กลับมา
ควบคู่ไปกับการปล่อยให้นักวิจัยทำตามสิ่งที่ตนเองต้องการ
นอกจากนี้การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ผ่านมา
ส่วนใหญ่ยังเป็นการพัฒนาที่อยู่นอกภาคการผลิต งานวิจัยส่วนใหญ่ยังอยู่ในสถาบันวิจัยของรัฐและมหาวิทยาลัย
มากกว่าในภาคการผลิตจริง ๆ ในภาคเอกชน ความเชื่อมโยงระหว่างองค์ความรู้ที่มีอยู่ไปสู่การพัฒนาในภาคเศรษฐกิจต่าง
ๆ ของประเทศยังนับได้ว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจที่ผ่านมาและไม่สามารถชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างชัดเจนเพียงพอที่จะตอบกับสิ่งที่สังคมให้มาได้
ดังนั้นปัญหาสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับความเชื่อมโยงที่สังคมมีต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
และที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีต่อสังคม ไม่ว่าจะมาจากมุมมองของประชาชนทั่วไป ผู้บริหารหรือนักวิชาการ
เราควรคิดกันต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะเชื่อมโยงประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ได้
แรงผลักดันสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มาจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
จากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงผลของการพัฒนาที่อาจพูดได้ว่าเป็นการพัฒนาที่
ขาดสติ ซึ่งเน้นความมั่งคั่งทางวัตถุมากกว่าความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อม
เราเห็นตึกสูง คอนโดมิเนียม โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เกิดขึ้นจำนวนมากอย่างรวดเร็วภายในช่วงเวลาไม่กี่ปี
ชาวบ้านเลิกปลูกข้าว ปลูกพืช และหันมาขายที่ดิน นักอุตสาหกรรมปิดโรงงานมาเล่นหุ้น
เงินได้มาก็ซื้อรถซื้อของใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย คนไทยจำนวนไม่น้อยขนเงินที่ได้จากการเล่นหุ้นรายวัน
ไปซื้อของฟุ่มเฟือยจากต่างประเทศมาใช้ แล้วเมื่อภาพลวงตาเหล่านี้หายไปและวันหนึ่งเราพบกับภาพที่แท้จริง
ความเฟื่องฟูในอดีตกลับหายไปในพริบตา รัฐบาลต้องประกาศลดค่าเงินบาท สถาบันการเงินจำนวนมากต้องถูกสั่งปิด
ตึกสูงและสิ่งปลูกสร้างจำนวนมากถูกปล่อยให้ร้าง คนจำนวนมากต้องเป็นหนี้เป็นสินเพราะไปกู้มาเก็งกำไรที่ดินและเล่นหุ้น
ชาวบ้านก็ไม่มีที่ทำกินเพราะขายที่ดินไปหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาประเทศที่
ขาดสติ เรามองความมั่งคั่งทางวัตถุ ลงทุนเกินตัวในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตอย่างแท้จริงเพื่อให้ได้กำไรมาก
ๆ มากกว่าการลงทุนที่มีความพอดี และสร้างความเจริญทางจิตใจของคนในสังคมมากกว่าวัตถุที่ได้มา
เราคงต้องเร่งแก้ไขฟื้นฟูสิ่งที่เป็นอยู่อย่างเร่งด่วน แต่การฟื้นฟูในครั้งนี้ คงไม่ใช่การทำให้ระบบเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวอย่างไร้ทิศทางดังเช่นในอดีต
นอกจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เป็นแรงผลักดันภายในประเทศแล้ว ในอนาคต กระแสการเปลี่ยนแปลงต่าง
ๆ ของโลกจะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญต่อประเทศที่กำลังพัฒนาเช่นประเทศไทยอย่างมาก กระแสโลกาภิวัตน์ที่เข้ามาสู่ทุกประเทศอย่างรวดเร็วจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ทำให้สังคมโลกสามารถสื่อสารกันได้ทุกแห่งทั่วโลกอย่างรวดเร็ว สามารถรับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง
ๆ ได้พร้อมกัน สามารถบริหารจัดการและตัดสินได้ทุกขณะเวลา การลงทุนค้าขาย และการชำระเงินก็สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
กระแสการเปิดเสรีทางการค้าและการสร้างระเบียบการค้าใหม่ของโลกที่มีองค์กรการค้าโลกหรือ
WTO เป็นผู้ดูแล การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆ เช่น NAFTA EU AFTA ฯลฯ เป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้ประเทศต่างๆ
ต้องปรับตัวเอง กำแพงภาษีที่ลดลง หรือการเปิดเสรีในการค้าและบริการต่างๆ การถูกตัดสิทธิพิเศษภาษีศุลกากร
หรือ GSP (General System of Preferences) ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่
ในขณะที่โลกดูเสมือนว่าเปลี่ยนไปเป็นการค้าเสรี การกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่ ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นมาโดยอ้างเหตุผลต่าง
ๆ กัน เช่น การกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐานคุณภาพสินค้า มาตรฐานสิ่งปนเปื้อน มาตรฐานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
หรือการห้ามนำเข้าสินค้าที่ผลิตจากการตัดแต่งยีน หรือ GMOs (Genetically Modified
Organisms) ของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป หรือ EU ที่กำลังเป็นข่าวกันอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องอาศัยการพิสูจน์ด้วยความรู้
ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยใช้ความรู้เรื่องลายพิมพ์พันธุกรรม (DNA fingerprint
) มาเป็นหลักฐานยืนยัน ซึ่งในอนาคต การที่ผู้ประกอบการไทยจะก้าวไปค้าขายแข่งกับคนอื่นในตลาดโลกได้จำเป็นต้องอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
สิ่งเหล่านี้ ส่งผลให้การแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศรุนแรงมากขึ้น คนที่เคยอยู่สบายได้รับการคุ้มครองมาเป็นเวลานาน
หรือธุรกิจที่ผูกขาดก็จำเป็นต้องปรับและพัฒนาตัวเองโดยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยต้นทุน
คุณภาพสินค้าและบริการใหม่ ๆ ซึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากที่จะนำไปสู่การสร้างความสามารถในการแข่งขัน
สัญญาประชาคมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป
- จากการเป็นแค่ผู้ให้กับผู้รับมาเป็นผู้มีส่วนร่วมด้วยกัน
จากแรงผลักดันทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่ส่งผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมไทย
ทำให้เราคงต้องหันมามองสิ่งที่สังคมส่วนรวมยึดถือปฏิบัติหรือสัญญาประชาคมที่เคยมีต่อกันระหว่างสังคมกับประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโลโนยี
ว่าควรจะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ด้วยเช่นกัน เพราะสัญญาประชาคมก็เปรียบเหมือนข้อตกลงที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่าจะปฏิบัติกันอย่างไรต่อไป แต่เดิมมานั้นสังคมให้ทรัพยากรแก่ประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีควรส่งเสริม แต่ก็ให้ทรัพยากรมาเท่าที่จะให้ได้โดยไม่ทำให้ส่วนอื่นเดือดร้อน
เมื่อประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับทรัพยากรนั้นมา ก็ทำเท่าที่จะทำได้ ด้วยความตั้งใจและให้คืนแก่สังคมเท่าที่จะให้ได้
โดยคาดหวังว่า เป็นหน้าที่ของสังคมที่จะนำเอาสิ่งที่ได้มานั้นไปใช้ประโยชน์เอง พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ
ผมมีเงินที่จะให้คุณอยู่ ๑๐๐ บาท และมีให้แค่นี้เท่านั้นจะเอาไปทำอะไรก็คิดเรื่องของคุณขึ้นมา
ถึงเวลาก็ขอให้มีงานส่งผมก็พอ และบอกด้วยว่าเอาเงินไปใช้ถูกต้องตามที่ขอไว้ ส่วนผู้ขอ
เมื่อได้เงินมา ๑๐๐ บาท ก็ใช้และทำที่สามารถจะทำได้ ภายใต้แรงผลักดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศที่กำลังรุมล้อมเราเข้ามา
ภาพที่เรื่องของใครคนนั้นก็ทำไป คงไม่ใช่ภาพที่ควรจะเป็นในอนาคตสำหรับสังคมไทย สังคมกับประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องหันมาทำงานร่วมกัน
การมีส่วนร่วมเป็นแนวคิดที่สำคัญสำหรับสัญญาประชาคมใหม่ ทุกฝ่ายจะต้องมาร่วมกันในการวางแผน
และนำแผนที่คิดไปสู่การยอมรับของสังคม และนำเอาผลการดำเนินงานกลับสู่วงจรการวางแผนอีกทีหนึ่ง
ประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็จะได้รับประโยชน์ตรงตามที่ต้องการกลับคืนจากสิ่งที่ประชาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างหรือพัฒนาขึ้นมา สังคมไทยในอนาคต
- การรักษาสมดุลระหว่างการเป็นสังคมที่เปิดสู่โลกภายนอก ในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมของสังคมไทยเอาไว้
หลังจากที่เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่ผ่านมา ทีนี้เราคงต้องหันมามองอนาคตกันบ้าง
ใน ๒๐ ปีข้างหน้า ภาพของสังคมไทยที่ยังคงไม่เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ ก็คือ ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทยกว่าครึ่งหนึ่งก็ยังคงอยู่ในสังคมชนบท
คนจำนวนมากของประเทศยังมีความเป็นอยู่แบบเกษตรกรรมดั้งเดิม เป็นสังคมที่อบอุ่น มีความรู้สึกผูกพัน
เป็นสังคมที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัย สามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ และมีความเอื้ออาทรต่อกัน
แต่ในขณะเดียวกันเนื่องจากประเทศเราเป็นสังคมเปิด มีเสรีภาพในการค้าขายและประกอบวิชาชีพ
ทำให้เราใช้ต้นทุนที่ธรรมชาติให้มากันอย่างฟุ่มเฟือย กระแสวัฒนธรรมใหม่ที่มากับสื่อสารสนเทศและสื่อบันเทิงต่าง
ๆ จากนอกประเทศจะเริ่มเข้ามาแทนที่เอกลักษณ์และคุณค่าแบบดั้งเดิมของสังคมไทยมากขึ้น
แรงกดดันทางเศรษฐกิจยังคงนำมาซึ่งปัญหามนุษยสัมพันธ์และความเอื้ออาทรระหว่างสมาชิกร่วมสังคมและปัญหาของสถาบันครอบครัวที่จะตามมา ความอ่อนแอและล้าหลังของสังคมชนบทและภาคเกษตรกรรมดั้งเดิม
ภาวะวิกฤตของสถาบันครอบครัว ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่สูงขึ้น
ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาประเทศต่อไปจะเน้นแต่ความมั่นคงและประสิทธิภาพของเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างเดียวไม่ได้
ในอนาคตรูปแบบเศรษฐกิจควรเป็นรูปแบบผสมผสานที่มีประสิทธิภาพที่จะสามารถกระจายความมั่นคงทางเศรษฐกิจออกไปยังชุมชนท้องถิ่นต่าง
ๆ อย่างทั่วถึง เป็นการพัฒนาที่เน้นศักยภาพของแต่ละพื้นที่ ให้แต่ละท้องถิ่นมีการพัฒนาที่สอดคล้องกับต้นทุนทางธรรมชาติ
และเปิดทางไปสู่รูปแบบเศรษฐกิจแบบผสมผสาน และการพึ่งพาตนเองมากขึ้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรม
และค่านิยมที่ดีที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์แบบไทย สิ่งเหล่านี้จะทำให้สังคมไทย สามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้ในประชาคมโลกและมีความพอดีระหว่างความมั่งคั่งทางวัตถุกับความเจริญของจิตใจ
สังคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกับสังคมไทยใน ๒๐ ปีข้างหน้า
สังคมไทยในอนาคตต้องอาศัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เพื่อสร้างความรู้คู่ไปกับปัญญาที่สร้างสรรค์ เป็นรากฐานของการดำเนินชีวิตของคนไทยเป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประชาชน
และนำพาสังคมไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและสามารถที่จะอยู่ร่วมกับสังคมโลก
สิ่งที่น่าคิดต่อไปก็คือ
เราจะสร้างความพอดีระหว่างการอยู่ร่วมกับคนอื่นในประชาคมโลกและรักษาสิ่งที่ดีงามในสังคมไทยไว้ได้อย่างไร
ในด้านหนึ่งผมคิดว่าทุกคนคงไม่ปฏิเสธการติดต่อค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ผู้ซื้อผู้ใช้ที่มีความต้องการที่ซับซ้อนมากขึ้น
และมีการกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่ ๆ ทำอย่างไรเราจะผลิตสินค้าได้ทันและตรงกับความต้องการของผู้ใช้
ในราคาที่เหมาะสม นั่นก็คือเราจำเป็นต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันของตนเองขึ้นมา
ดังนั้น เราจะแข่งขันกับคนอื่นโดยใช้ความได้เปรียบของทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเดียวคงไม่พอ
หรือพึ่งความรู้และเทคโนโลยีจากคนอื่นเช่นที่ผ่านมาตลอดไปไม่ได้ เราจะต้องมีความคิดริเริ่มใหม่
วิธีการใหม่หรือสินค้าใหม่ที่จะไปนำเสนอต่อผู้ใช้ เราจะต้องมีนวัตกรรมเพื่อสร้างสิ่งเหล่านี้
และสามารถพัฒนาขีดความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา ซึ่งจะต้องอาศัยพื้นฐานและความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญ
เราคงไม่สามารถผลิตสินค้าด้วยการลองผิดลองถูกหรือออกแบบสินค้าได้โดยไม่ต้องอาศัยแนวคิดหรือหลักเกณฑ์อะไรเลย
เราจะต้องมีการพัฒนาวิธีคิดอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ไม่ว่าจะเป็นสังคมไทยหรือสังคมโลก กระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องตระหนัก
ตั้งแต่ในระดับชุมชนท้องถิ่น ระดับประเทศ ระดับภูมิภาค ไปจนถึงในระดับโลกเราจะคิดถึงแต่ด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่ได้
เราคงไม่สามารถจะผลิตโดยใช้ต้นทุนทรัพยากรที่มีอยู่เท่าใดก็ได้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สามารถรองรับความต้องการของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นได้อย่างสมดุล การพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องคิดถึงในระยะยาวมากกว่าผลในระยะสั้น ภาระของสังคมที่เกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องได้รับการดูแลและรักษาสภาพความสมดุลของระบบเอาไว้
ของเสียจากการผลิตจะต้องได้รับการจัดการที่ดี ในทำนองเดียวกัน การผลิตก็ต้องได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพที่จะไม่ทำให้เกิดของเสีย
พลังงานทดแทน หรือเทคโนโลยีสะอาด เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ ก็เป็นทางเลือกที่ควรนำมาพิจารณา ผลของการพัฒนาจะต้องทำให้คนในประเทศมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การบริการ การแพทย์และสาธารณสุข ผมคิดว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้จะต้องสามารถช่วยให้คนในสังคมดำรงชีวิตได้อย่างพอดี
มีวัฒนธรรมของไทยเป็นเอกลักษณ์ มีระบบการศึกษาที่ทำให้ทุกคนสามารถศึกษาได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตเพื่อทำให้สังคมเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
อันจะนำไปสู่การสร้างปัญญาให้กับคนในประเทศและก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์เพื่อใช้เป็นรากฐานในการดำรงชีวิตของทุกคนในสังคม
การพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องสามารถทำให้คนในประเทศมีความสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น มีชุมชนที่เข้มแข็งมีสันติในสังคม
และมีสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า สังคมไทยจะต้องเป็นสังคมผสมผสาน
และรักษาสมดุลระหว่างการอยู่ร่วมกับสังคมโลกและการรักษาความเป็นไทยเอาไว้เช่นกัน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมให้ประเทศไทยสามารถยืนหยัดอยู่ในประชาคมโลก
เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะต้องเชื่อมโยงเข้าไปในสังคมไทย
เพื่อเป็นรากฐานของความคิด และการสร้างสรรค์ เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา
เพื่อสร้างองค์ความรู้และการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศของเรา ผมคิดว่าการบรรยายในวันนี้
จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่จะช่วยกันมองอนาคตของประเทศ และระดมความคิดจากทุก ๆ ฝ่ายเพื่อร่วมกันสร้างวิสัยทัศน์ของประเทศไทยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอีก
๒๐ ปีข้างหน้าต่อไป |