รวมปาฐกถาภาษาไทย ปาฐกถาพิเศษ
เรื่อง เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ใน
๔ ปีที่ผ่านมา ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๔
ท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ ท่านประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ท่านประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ท่านอดีตประธานรัฐสภา ท่านอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และท่านผู้มีเกียรติผู้เข้าร่วมการสัมมนาทุกท่าน
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ใช้มาจนจะครบ ๔ ปีเต็มในวันพรุ่งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้มา
ทบทวนเจตนารมณ์เมื่อตอนยกร่างรัฐธรรมนูญกับการใช้รัฐธรรมนูญมาเกือบสี่ปีว่ามีความก้าวหน้า
มีความสำเร็จ หรือมีปัญหา อุปสรรคใดบ้าง เพื่อเตรียมการไว้สำหรับการแก้ไขให้ดีขึ้นในปีหน้าซึ่งจะครบ
๕ ปี และรัฐธรรมนูญมาตราสุดท้ายก็ได้กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
และคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีอำนาจเสนอความคิดเห็นต่อคณะรัฐมนตรี และต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจริเริ่มการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ว่า
สมควรมีการปรับปรุงแก้ไขตัวรัฐธรรมนูญเอง หรือกฎหมายอื่นในประการใดบ้าง เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์หลักคือ
การปฏิรูปการเมือง ผมขอเน้นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนั้นมิใช่ว่าจะแก้ไขอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ
เจตนารมณ์ของมาตรา ๓๓๖ อันเป็นมาตราสุดท้ายเป็นเจตนารมณ์ที่ชัดแจ้งว่า ต้องการให้แก้ไขเพิ่มเติมให้ดีขึ้น
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต้องแก้ไขจุดบกพร่องที่ขัดขวางการปฏิรูปการเมืองที่ทำให้การปฏิรูปล่าช้า
หรือเบี่ยงเบนไป ดังนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่จะทำกันต่อไป เพื่อให้ถอยหลังกลับไปเหมือนก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ
ถือว่าเป็นการ ถอยหลังเข้าคลอง และขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญโดยตรง นอกจากนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างอุปสรรคให้เกิดขึ้นต่อการปฏิรูปการเมือง
จะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม ก็เป็นการเดินสวนทางกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญโดยตรง นอกจากนั้น
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างอุปสรรคให้เกิดขึ้นต่อการปฏิรูปการเมือง จะโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม
ก็เป็นการเดินสวนทางกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญโดยตรง ท่านผู้มีเกียรติครับ
เรายังคงจำเหตุการณ์เมื่อกว่า ๔ ปี ก่อนได้ว่า ประชาชนทั่วประเทศได้ร่วมกันเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง
เพื่อปรับปรุงระบบการเมืองทั้งระบบให้ดีขึ้นโดยประชาชนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญของสภาร่างรัฐธรรมนูญอย่างไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์
การปฏิรูปการเมืองจึงเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการเมืองขึ้น
รัฐธรรมนูญได้กำหนดโครงสร้างทางการเมือง และกระบวนการเมืองเสียใหม่ โดยมีมาตรการสำคัญ
๓ ประการ ซึ่งถือเป็นเจตนารมณ์หลักของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ประการแรก เปลี่ยน
การเมืองของนักการเมือง ให้เป็น การเมืองของพลเมืองโดยส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองเพิ่มขึ้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ
รัฐธรรมนูญต้องการสถาปนา การเมืองภาคพลเมือง ขึ้นคู่ไปกับ การเมืองของนักการเมือง
นั่นเอง ประการที่สอง รัฐธรรมนูญต้องการทำให้การเมือง สุจริต และ โปร่งใส
เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ศรัทธา และความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ประการที่สาม
รัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ให้การเมือง มีเสถียรภาพ และ มีประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้มากขึ้น
เจตนารมณ์ทั้งสามประการนี้ ปรากฏอยู่ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญเองที่ว่า
ภายหลังจากนั้น
สภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญโดยมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเพิ่มขึ้น ตลอดทั้งปรับปรุงโครงสร้างทางการเมือง
ให้มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้โดยได้คำนึงถึงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสำคัญ
ท่านที่เคารพครับ หากเปรียบบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษรของมาตรา ๑ ถึงมาตรา
๓๓๖ เหมือนร่างกายมนุษย์ เจตนารมณ์ ๓ ประการดังกล่าว เพื่อให้เกิดการปฏิรูปการเมืองก็เหมือนวิญญาณ
มนุษย์ที่มีแต่ร่างกาย ไม่มีจิตวิญญาณ คือมนุษย์ที่ตายแล้วฉันใด รัฐธรรมนูญที่มีแต่ตัวหนังสือเป็นบทมาตรา
ต่าง ๆ ไม่มีเจตนารมณ์กำกับก็เหมือนตัวหนังสือที่หาความหมายไม่ได้ ใครจะเติมความหมายหรือตีความอย่างไรก็ได้
ด้วยเหตุนี้ การใช้รัฐธรรมนูญก็ดี การตีความรัฐธรรมนูญก็ดี การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ดี
ต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์เป็นสำคัญ การทำให้คนปราศจากจิตวิญญาณ ถือเป็นการฆ่าคนฉันใด
การพรากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไปเสียจากเจตนารมณ์ ก็คือการล้มล้างรัฐธรรมนูญโดยไม่ต้องใช้อาวุธหรือกำลังฉันนั้น
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ หากเราหยิบเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญเป็นตัวตั้ง แล้วตรวจสอบการใช้การตีความรัฐธรรม-
นูญ ในช่วงเกือบ ๔ ปี ที่ผ่านมา เราก็จะพบทั้งความก้าวหน้าและปัญหา สำหรับความก้าวหน้านั้นมีมากมายจนเกินกว่าจะนำมาพูดในเวลาจำกัดหากจะดูแต่ความก้าวหน้าหลัก
ๆ เราจะพบว่า ในเบื้องแรก การเมืองภาคพลเมืองเข้มแข็งขึ้นกว่าก่อนมีรัฐธรรมนูญมากดังจะเห็นได้ว่า
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า ๕๐,๐๐๐ คนได้เข้าชื่อกันเสนอร่างกฎหมายป่าชุมชนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
เพื่อรองรับสิทธิของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมตามมาตรา ๔๖ ของรัฐธรรมนูญในอันที่จะบำรุงรักษาและใช้ทรัพยากรป่าได้
ไม่ช้าเราก็คงจะได้ใช้กฎหมายที่ประชาชนริเริ่มเอง นอกจากนั้น ประชาชนยังมีส่วนร่วมรับรู้ข้อมูลข่าวสารของทางราชการเพิ่มขึ้น
ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการแสดงความคิดเห็นและประชาพิจารณาในโครงการสำคัญ ๆ ของรัฐเพิ่มขึ้น
ที่สำคัญก็คือประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้มีโอกาสเลือกผู้แทนของทุกภาคทุกกลุ่มในสังคมเข้ามาใน
สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อสะท้อนความต้องการและความคิดเห็นให้ผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองทราบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แม้ระดับท้องถิ่นเอง การกระจายอำนาจไปให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเพิ่มขึ้นตามรัฐธรรม-นูญ
ก็เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกิจการท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในประการต่อมา การป้องกันและปราบปรามการทุจริตก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเก่ามาก
ดังจะเห็นได้จากการที่ ปปช. และศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ผู้ดำรงตำแหน่ง ๙ คนใน ๑๐
คนที่ไม่ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สิน หรือ หนี้สิน หรือยื่นแต่เป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริง
ต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือ ต้องห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่ง ๕ ปี เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่เคยมีมาก่อนในรัฐธรรมนูญ
เร็ว ๆ นี้ กำลังจะมีการพิจารณาคดีอาญาของนักการเมืองโดยศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองต่อไป
ขอเราจับตาดูให้ดี ความโปร่งใสในการบริหารบ้านเมืองก็มีมากขึ้นกว่าเก่า ดังจะเห็นได้จากการที่ประชาชนสามารถใช้สิทธิเข้าขอข้อมูลทางราชการมากขึ้น
ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ก็ปรับตัวให้ข้อมูลแก่ประชาชนเพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้น
การที่มีองค์กรตรวจสอบเพิ่มขึ้นถึง ๙ องค์กร ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง
กกต. ปปช. ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เหล่านี้ ประชาชนก็ตรวจสอบภาครัฐได้อย่างทั่วถึง
และมีช่องทางทำให้ความไม่เป็นธรรม หรือความไม่ชอบมาพากล หมดไปมากขึ้นกว่าในอดีตมาก
ในประการสุดท้าย แม้ว่าจะต้องมีการเลือกตั้งหลายครั้งแต่การทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
การซื้อเสียง ซึ่งเหมือนกับจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองไทยก่อนปี ๒๕๔๐ เพราะมีแต่การพูดถึง
แต่ไม่มีการดำเนินการเอาผิด หรือแก้ปัญหาจริงจัง กลับได้รับการแก้ไขไประดับหนึ่งโดย
กกต. ซึ่งเอาจริง การหาเสียงซึ่งเดิมพูดถึงนโยบายน้อยมาก ก็เปลี่ยนมาเป็นการหาเสียงแข่งกันด้วยนโยบาย
ซึ่งทำให้การเลือกตั้งมีลักษณะเป็นการเลือกนโยบายมากขึ้นอันจะส่งผลดีระยะยาวต่อการเมือง
รัฐบาลเองก็มีเสียงข้างมากในสภาท่วมทัน ไม่ต้องกังวลต่อปัญหาเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างรัฐบาลเก่า
ๆ ในอดีต และเราอาจได้เห็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่อยู่ครบ ๔ ปี เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็ได้
รัฐสภาเองก็ทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร่างกฎหมายหรือเรื่องอื่น การพิจรณาในสภาก็ไม่ยืดเยื้อยาวนานอย่างในอดีต
หากจะสรุปโดยภาพรวม ระบอบประชาธิปไตยไทยพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมากทั้งการเมืองภาคพลเมือง
การเมืองของนักการเมือง และ ความทุจริตโปร่งใสจนเราน่าภูมิใจว่า เราไปไกลกว่าประเทศในภูมิภาคนี้มากในทางการเมือง
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพครับ ไม่มีอะไรที่มีแต่ความสำเร็จสมบูรณ์จนไม่มีที่ติ
ในความสำเร็จก็ยังมีปัญหาซ่อนอยู่ รอเวลาที่เราต้องช่วยกันแก้ไขเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักของการปฏิรูปการเมืองตามรัฐธรรมนูญให้จงได้
ปัญหาประการแรกที่ควรให้ความสำคัญก็คือ ความเข้มแข็งของพลเมืองจะเกิดขึ้นได้ด้วยปัจจัย
๔ ประการคือ หนึ่ง ประชาชนต้องรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เป็นชมรม หรืออย่างอื่น
เพื่อให้การต่อรอง กดดันทางการเมืองมีน้ำหนัก เราจะเห็นได้ว่าบางภาค การรวมตัวกันยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
เช่นผู้บริโภคซึ่งถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ ชาวนาซึ่งทำนาและขายข้าว หากภาคเหล่านี้รวมตัวกันเข้มแข็งขึ้น
เสียงก็จะดังกว่าเดิม อำนาจต่อรองก็จะเพิ่มขึ้น อย่าลืมว่าประชาธิปไตยในมิติหนึ่งก็คือ
การสามารถทำให้ผู้ปกครองต้องฟังเรา สอง การมีส่วนร่วมต้องอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญและสันติ
จึงจะเป็นส่วนร่วมที่เหมาะสม ดังนั้น ผู้มีส่วนร่วมต้องเคารพสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นด้วย
เพราะเราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวในสังคม ดังนั้น ส่วนร่วมที่นำไปสู่ความรุนแรง และการละเมิดกฎหมายจึงควรจะหมดไป
และเปลี่ยนเป็นส่วนร่วมที่มีคุณภาพและชอบธรรม เพราะไม่ใช้ความรุนแรงแทน สาม
การมีส่วนร่วมต้องมีฐานอยู่บนความรู้ไม่ใช่อารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องของฝ่ายวิชาการในมหาวิทยาลัยที่ต้องสนใจศึกษาวิจัยปัญหาของบ้านเมืองมากขึ้น
และศึกษาอย่างเป็นกลางจริง ๆ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์อันเป็นเงินวิจัยแต่อย่างเดียว
สี่ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเปลี่ยนทัศนคติ ต้องรับการมีส่วนร่วมอย่างเต็มใจ
เพราะการให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นหรือประชาพิจารณ์จะทำให้ได้ข้อมูลและความคิดรอบด้าน
ทำให้การตัดสินใจรอบคอบขึ้น การประชาพิจารณ์ที่ถูกต้องจึงยังต้องไม่ตัดสินใจก่อน
การตัดสินใจก่อนแล้วไปพยายามชักจูงให้ประชาชนเห็นด้วยไม่ใช่ประชาพิจารณ์ แต่เป็นการประชาสัมพันธ์ซึ่งอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นได้
หากผลกระทบโครงการดังกล่าวตกถึงประชาชน ปัญหาประการต่อมาก็คือ การที่ผู้ที่เกี่ยวข้องยังคงมีทัศนคติและพฤติกรรมแบบเดิมเหมือนก่อนการปฏิรูบการเมือง
ดังจะเห็นได้จากปัญหาการซื้อเสียงที่ยังไม่หมดไป การพูดและให้สัมภาษณ์ของนักการเมืองบางคนซึ่งไม่ได้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมไทย
ข้าราชการเองก็ยังคงไม่ตื่นตัว ทำอย่างไรมาในอดีตก็ทำอย่างนั้นต่อไป สื่อมวลชนเองก็เสนอข่าวแบบ
เก่า ๆ โดยเฉพาะเห็นการอภิปรายในสภา ซึ่งอาจมีเนื้อหาสาระดีกว่าเก่ามาก เป็นเรื่อง
จืดชืด แต่ถ้าอภิปรายด่ากันก็อาจเป็นเรื่องตื่นเต้นน่าติดตาม ประชาชนบางส่วนก็ยังคงคิดแบบเดิมคือ
รอผู้นำ ทั้ง ๆ ที่ในระบอบประชาธิปไตยเองนั้น ประชาชนต้องเป็นผู้นำและรัฐบาลต้องเป็นผู้ตามประชาชน
ทัศนคติ และพฤติกรรมเก่า ๆ แบบนี้คงจะต้องปรับปรุง หาไม่แล้วก็จะมีการปฏิรูปแต่ในรูปแบบ
แต่เนื้อหาคือพฤติกรรมยังคงเป็นแบบเก่า ๆ ดังนั้น การปรับปรุงทัศนคติและพฤติกรรมอาจต้องเริ่มที่ฝ่ายการเมืองที่ต้องแสดงตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้ง
สำนึก และพฤติกรรม ที่จะต้องไม่เดินสวนทางกับการปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะต้องมีทัศนคติประชาธิปไตยคือรับฟังผู้อื่น
การ รับฟัง ไม่ใช่ การเชื่อฟัง คนที่รับฟังผู้อื่นมีแต่ได้กำไร ตรงกันข้ามกับคนที่ปิดกั้นโอกาสการรับฟัง
ก็ย่อมมีแต่ขาดทุน เพราะแม้ทรราชที่สุดก็ต้องยังเงี่ยหูคอยฟังประชาชน พฤติกรรมประการที่สองคือ
ความโปร่งใสและความสุจริตต้องอยู่ในมโนสำนึกของนักการเมืองและข้าราชการ ตลอดจนบรรดาพ่อค้า
นักธุรกิจทั้งหลาย สำหรับการเมืองกับข้าราชการมีคนพูดมามากแล้ว วันนี้จะขอเน้นที่นักธุรกิจซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหรือทำลายการปฏิรูปการเมืองได้
ท่านผู้มีเกียรติครับ นักธุรกิจที่ดีย่อมต้องมีศีลธรรม การแสวงหากำไรจะต้องไม่เกิดจากการได้อภิสิทธิ์
เพราะได้สนับสนุนฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการ คอรัปชั่นจะมีแต่ผู้รับไม่ได้ ต้องมีผู้ให้ด้วย
นักธุรกิจที่มีมโนสำนึกย่อมจะไม่แสวงอภิสิทธิ์หรือการผูกขาดโดยการใช้เงินสนับสนุนการเมืองหรือข้าราชการ
แต่ที่ผ่านมา เราต้องยอมรับว่า ธรรมาภิบาลธุรกิจ เองมีปัญหาซึ่งส่งผลทำให้นักธุรกิจที่ไม่ดีฉวยโอกาสใช้เงินทองเพื่อให้ได้ซึ่งอภิสิทธิ์
สิ่งเหล่านี้ย่อมทำลายการปฏิรูปการเมืองและธรรมาภิบาลโดยตรง ผมจึงขอเรียบร้องให้นักธุรกิจหันกลับมามีมโนสำนึกที่ถูกต้องต่อบ้านเมืองและสังคม
สำหรับสื่อมวลชนนั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ปลดปล่อยพันธะการถูกควบคุมโดยรัฐออกไป เพื่อให้สื่อมวลชนอิสระ
สื่อมวลชนอิสระย่อมเสนอข่าวและความเห็นที่ถูกต้องและไม่เป็นฝักเป็นฝ่าย ซึ่งประชาชนจะได้ใช้วิจารณญาณอย่างถูกต้อง
เสรีภาพของสื่อมวลชนจึงเป็นหัวใจของประชาธิปไตยเสรี แต่ความอิสระออกจากรัฐนั้นย่อมไม่เพียงพอ
สื่อมวลชนต้องอิสระออกจากนายทุนเจ้าของกิจการด้วย ความจริงในเรื่องนี้รัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้ชัดแจ้งในมาตรา
๔๑ ที่ว่า พนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง
หรือวิทยุโทรทัศน์ ย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นภายใต้ข้อจำกัดตามรัฐธรรมนูญโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของหน่วยราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือเจ้าของกิจการนั้น แต่ต้องไม่ขัดต่อจรรยาบรรณแห่งการประกอบวิชาชีพ ข้าราชการ
พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ ในกิจการวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์
ย่อมมีเสรีภาพเช่นเดียวกับพนักงานหรือลูกจ้างของเอกชนตามวรรคหนึ่ง เพื่อให้สื่อมวลชนเป็นอิสระออกจากทุนและรัฐอย่างแท้จริง
การรวมตัวของผู้สื่อข่าว คอลัมนิสต์จึงจำเป็น และจะต้องขอให้ออกกฎหมายอนุวัตการตามมาตรา
๔๑ โดยเร็ว เพื่อป้องกันการแทรกแซงทั้งจากทุนและรัฐ แต่เสรีภาพก็ต้องควบคู่ไปกับความรับผิดชอบ
สื่อมวลชนก็ต้องรับผิดชอบตัวเองให้มากกว่าเดิม องค์กรวิชาชีพต้องเข้มแข็งพอจะควบคุมกันเอง
และคุ้มครองสมาชิกจากการแทรกแซงของทุกฝ่ายในเรื่องนี้ แม้เราจะมีความพยายามดังกล่าวอยู่ก็ต้องยอมรับว่าองค์กรวิชาชีพนี้ยังไม่มีความเข้มแข็งอย่างแท้จริง
และที่สำคัญคือเจ้าของกิจการยังมีบทบาทอย่างสูงอยู่ในองค์กรดังกล่าว ดังนั้น
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปฏิรูปสื่ออย่างจริงจัง เพราะความสำเร็จของการปฏิรูปการเมืองย่อมขึ้นอยู่กับสื่อที่เป็นอิสระ
เป็นกลาง มีคุณภาพและความรับผิดชอบด้วย ท่านที่เคารพครับ ประเด็นสุดท้ายที่ผมอยากฝากไว้วันนี้ก็คือ
การตีความรัฐธรรมนูญขององค์กรต่าง ๆ ต้องยึดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่พึงตีความไปในทางที่ให้กฎหมายไร้ผล
หรือสวนทางกับการปฏิรูปการเมือง ดังเป็นข่าวฮือฮาในอดีตมาหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ
กกต. และ ปปช. ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญของบ้านเมืองนั้น ต้องเป็นเสาหลักแห่งการปฏิรูปการเมืองให้ได้
ไม่พึงตีความหรือประพฤติการใด ๆ ที่จะสวนทางหรือทำลายความศรัทธาในการปฏิรูปการเมือง
อย่าลืมว่า ถ้าไม่มีการปฏิรูปการเมือง ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ องค์กรเหล่านี้ก็เกิดขึ้นไม่ได้ดอกครับ
เมื่อองค์กรเหล่านี้เกิดขึ้น และดำรงอยู่ได้เพราะรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนตั้งขึ้นและมอบอำนาจให้
จึงต้องใช้อำนาจนั้นรักษาเจตนารมณ์และความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญไว้ให้ดีที่สุด
พฤติกรรมใดจะทำให้สงสัยหรือความเสื่อมศรัทธาต้องไม่กระทำ หากไม่ เจ้าของอำนาจที่แท้จริงคือประชาชนอาจตรวจสอบท่านได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านต้องพิทักษ์การปฏิรูปการเมืองและรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ทำตัว
เป็นรัฐธรรมนูญ เสียเอง ท่านผู้มีเกียรติครับ การปฏิรูปการเมืองเริ่มเมื่อ
๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๐ และยังไม่จบสิ้นครับ หนทางยังอยู่อีกยาวไกลกว่าจะถึงเป้าหมาย แต่ถ้าเรา
ประชาชนชาวไทยทุกคนช่วยกันผลักดัน การไปสู่เป้าหมายก็จะเร็วขึ้น ผมจึงขอเรียกร้องให้เรา
ท่าน ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงแห่งอำนาจสูงสุดช่วยกันพิทักษ์การปฏิรูปการเมือง
และผลักดันให้ไปถึงเป้าหมายโดยเร็ว ปีหน้า จะเป็นปีที่พิสูจน์ว่าคนไทย สังคมไทยจริงจังเพียงใดกับการปฏิรูปการเมือง
เพราะเป็นปีที่จะมีการพูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมากที่สุด โปรดระลึกว่า การพิจารณาใด
ๆ ต้องพิจารณาภาพรวมและเป้าหมายการปฏิรูปการเมือง ไม่พึงแยกส่วนและการกระทำการใด
ๆ อันเป็นการบั่นทอนหรือทำลายการปฏิรูป ผมหวังว่า เราจะช่วยกันติดตามกระแสการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
และพร้อมกับบอกทุกฝ่ายว่า เราต้องการการปฏิรูปการเมืองที่แท้จริง สวัสดีครับ |