รวมปาฐกถาภาษาไทย ปาฐกถานำ
เรื่อง ปัญหาความร่ำรวยผิดปกติในสังคมไทย โดย ฯพณฯ
นายอานันท์ ปันยารชุน วันจันทร์ที่ ๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ โรงแรมอโนมา
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาปาฐกถานำ
เรื่อง ปัญหาความร่ำรวยผิดปกติในสังคมไทย ท่ามกลางความสนใจอย่างยิ่งของท่านผู้มีเกียรติ
ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการป้องปรามการทุจริตอันเป็นที่มาของของความร่ำรวยผิดปกติในวันนี้ ความจริง
เมื่อพูดถึงหัวข้อสัมมนา คำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจผมก็คือ สังคมไทยเคยเห็นความร่ำรวยมหาศาลของนักการเมืองและข้าราชการเป็นปัญหาหรือไม่?
หรือ ผู้จัดเวทีสัมมนาสาธารณะนี้เท่านั้นที่เห็นว่าเป็น ปัญหา และเป็น ความผิดปกติ? ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนจำนวนมากยังถือคติอันเป็นคำพังเพยไทยที่ว่า
มีเงินเขาก็นับว่าเป็นน้อง มีทองเขาก็นับว่าเป็นพี่ ค่านิยมที่เห็นว่าเงินคือพระเจ้า
ความร่ำรวยเป็นความดีงาม ที่สังคมยอมรับนับหน้าถือตานี่เองเป็นรากเหง้าสำคัญที่ทำให้คนที่มีโอกาสก็ต้องแสวงหาโอกาสให้ร่ำรวยขึ้นมาให้ได้ด้วยวิธีการทุกวิธี
มิไยว่าวิธีการนั้นจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ท่านผู้มีเกียรติครับ นอกจากการเห็นความร่ำรวยเป็นความดีในตัวเอง
โดยไม่ได้ตั้งคำถามถึงที่มาของความร่ำรวยแล้ว คนจำนวนมากยังเชื่อผิด ๆ ว่าการคอรัปชั่นบ้าง
แต่ในขณะเดียวกันทำให้เศรษฐกิจโดยรวมดี ดีกว่าการไม่คอรัปชั่น และโครงการต่าง ๆ ต้องหยุดชะงัก
ดังที่มีผู้พูดให้เข้าหูอยู่เสมอว่า กินบ้าง ไม่เป็นไร ถ้ามีผลงาน ทัศนคติผิด
ๆ เช่นนี้ถูกถ่ายทอดไปยังนักธุรกิจจำนวนมากและประชาชนทั่วไป ดังจะเห็นได้จากผลการศึกษาของ
ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตรและคณะที่พบว่า ค่าน้ำร้อนน้ำชา ที่ประชาชนให้เจ้าหน้าที่ของรับเป็น
สินน้ำใจ ตอบแทนที่ให้บริการจดทะเบียนต่าง ๆ ไม่ถือเป็นการทุจริต ค่านิยมนี้เองทำให้เจ้าหน้าที่ระดับซี
๓ ซี ๔ ของกรมกรมหนึ่งแถวปากคลองตลาด มีเงินเก็บในลิ้นชักโต๊ะแต่ละคนเป็นเรือนแสน
แต่เมื่อกรมดังกล่าวถูกขโมยขึ้นไปงัดแล้วกวาดเงินไป ก็ไม่มีข้าราชการคนใดกล้าแจ้งความว่าเงินในลิ้นชักตนหายไปกี่แสน
ซึ่งแสดงว่า เจ้าหน้าที่รู้ดีว่า สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งถูกต้อง ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ผมคงต้องย้ำอีกครั้งหนึ่ง
ณ ที่นี้ว่า การทุจริตอันเป็นที่มาของความร่ำรวยผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตแบบให้และรับค่าน้ำร้อนน้ำชา
ซึ่งเป็นทุจริตระดับรากหญ้า หรือการทุจริตในโครงการใหญ่หลายล้านบาท มีผลเสียและทำลายสังคมทั้งสิ้น
เพราะ ประการแรก การตัดสินใจใช้อำนาจรัฐที่กฎหมายให้ไว้ ควรต้องตัดสินใจโดยดูข้อดีข้อเสียให้ถ่องแท้
แต่เมื่อเงินเข้ามามีบทบาท ย่อมทำให้การตัดสินใจผิดเพี้ยนไปจากที่ควรเป็น เพราะการอนุมัติ
อนุญาต และให้สัมปทาน หรือสิทธินั้น ๆ ถูกอิทธิพลเงินสินบนเข้าครอบ ลองหลับตานึกภาพดูว่า
ถ้ากรมป่าไม้ให้สัมปทานทำไม้ในป่าซึ่งควรต้องรักษาไว้เป็นต้นน้ำ การทุจริตนั้นก็สามารถทำลายป่าให้หมดไปได้จากประเทศไทย ประการที่สอง
การทุจริตและความร่ำรวยผิดปกติของผู้มีอำนาจ ย่อมส่งผลร้ายต่อประชาชนตาดำ ๆ ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
แต่ผู้ให้และผู้รับสินบนอาจไม่ได้รับผลร้ายโดยตรง เช่น การทุจริตในการก่อสร้างสะพาน
ถนน หรืออาคาร ทำให้มาตรฐานของสิ่งเหล่านี้ต่ำลง เพราะใช้วัสดุและวิธีการที่ไม่ได้มาตรฐาน
ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น บางครั้งก็ร้ายถึงขนาดสิ่งเหล่านี้พังทลายลง
เป็นเหตุให้ชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากเสียไป ประการที่สาม การทุจริตและความร่ำรวยผิดปกติ
เป็นการฉกฉวยทรัพย์สินทั้งของรัฐและของประชาชนไปเป็นของส่วนตัว ดังจะเห็นได้จากการได้สัมปทานผูกขาดสาธารณูปโภคด้วยวิธีทุจริต
ย่อมทำให้ผู้ให้สินบนนำค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในการทุจริต มาบวกรวมเป็นต้นทุนและผลักภาระให้ประชาชนผู้ใช้บริการต้องใช้บริการราคาแพง
ยิ่งกว่านั้น การเอาเงินที่ควรได้แก่รัฐมาเป็นของตัว ยังเป็นการเบียดบังประชาชนเจ้าของภาษีโดยตรง
เป็นความผิดทั้งทางศาสนาและกฎหมาย โดยทางศาสนานั้นถือเป็นการลักทรัพย์ ส่วนทางกฎหมายก็ถือเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่
ท่านที่เคารพครับ การโกงราษฎร์ โกงหลวง และความร่ำรวยผิดปกติ แม้จะเกิดจากค่าน้ำร้อนน้ำชา
ก็เป็นความผิด ความเลว ที่สังคมต้องช่วยกันป้องปราม การป้องปรามนั้นต้องเริ่มที่ประชาชน
ซึ่งจะต้องร่วมกันเปลี่ยนทัศนคติต่อการได้มาซึ่งเงินทองว่า ต้องได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
และโดยวิธีที่ถูกต้อง ต้องบูชาความสุจริต ความดีงามมากกว่าเงินตรา และที่สำคัญที่สุด
ต้องตั้งข้อสงสัย และประนามความร่ำรวยที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า หาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงอย่างไร
และร่วมมือกันกำจัดคนรวยผิดปกติเหล่านี้ให้หมด สภาพบังคับทางสังคมเช่นนี้ จะทำให้คนโกงไม่กล้าโกง นอกจากนั้น
นักธุรกิจผู้ประกอบกิจการทั้งหลายก็ต้องมีจริยธรรมไม่หวังได้สัมปทาน หรือสิทธิต่าง
ๆ โดยวิธีการให้สินบน หากผู้ใดประพฤติเข้าข่ายนี้ สังคมธุรกิจต้องร่วมกันประณาม ไม่คบค้าด้วย
เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้แข่งขันอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์กติกา แต่เป็นพวกชอบชกใต้เข็มขัด
บรรษัทภิบาล หรือที่เรียกว่า good corporate governance ต้องเกิดขึ้นเพื่อป้องกันนักฉกฉวยโอกาสทางธุรกิจให้หมดไป สื่อมวลชนเองก็ต้องทำหน้าที่ขุดคุ้ยความร่ำรวยผิดปกติของบุคคล
ไม่พึงเอารายได้จากการโฆษณาและความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เกื้อกูลกันมากับผู้มีอำนาจมาบิดเบือนการนำเสนอข่าว
การช่วยปกปิดความร่ำรวยผิดปกติหรือความทุจริตของผู้มีเงินและอำนาจต้องถือเป็นการผิดจรรยาบรรณหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนอย่างร้ายแรง
ถึงขั้นต้องถือว่าร่วมกันกับผู้นั้นกระทำความผิด ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพครับ ความร่ำรวยผิดปกติและความทุจริตจะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าไม่มี โอกาส โอกาสทุจริตนั้นเกิดจากปัจจัยสำคัญสองประการคือ การมีอำนาจใช้ดุลพินิจมากมายที่เรียกว่า
discretion ซึ่งกฎหมายให้ไว้และการขาดความโปร่งใสในการใช้อำนาจ ตัวเราจะสังเกตพฤติกรรมทุจริตอันเป็นที่มาของความร่ำรวยผิดปกติของข้าราชการและนักการเมือง
เราก็จะพบความจริงข้อนี้ได้ไม่ยาก เช่นในกรมศุลกากรซึ่งกฎหมายศุลกากรที่ล้าหลังให้อำนาจเจ้าหน้าที่ไว้มากมาย
ผู้ออกของต้องเสียเงินเป็นรายโต๊ะ ก็เพราะ ดุลพินิจ ที่มีล้นฟ้า และความไม่โปร่งใสในการปฏิบัติงาน
แม้การอนุมัติโครงการใหญ่ ๆ ของฝ่ายการเมืองก็มีลักษณะเดียวกัน ดังนั้น จะขจัดต้นตอของความร่ำรวยผิดปกติ
เราก็ต้องจำกัดดุลยพินิจของคนให้มากที่สุด เพื่อการจำกัดดุลยพินิจนี้ ต้องเปลี่ยนวิธีการเขียนกฎหมายให้กฎหมายไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจผู้ใช้กฎหมายให้มากที่สุด
เช่น กฎหมายต้องกำหนดเลยว่า ถ้ามีสถานการณ์หนึ่งเกิดขึ้น กฎเกณฑ์ที่จะใช้กันคือกฎเกณฑ์ใด
ไม่ต้องให้คนมานั่งเอาใจข้าราชการหรือนักการเมือง หากดุลยพินิจลดลง การทุจริตก็จะลดลง
เพราะความแน่นอนเกิดจากกฎหมายเอง ไม่ใช่เกิดจากใจผู้ใช้กฎหมาย ต้นทุนทางธุรกิจก็จะลดลง
เพราะความไม่แน่นอนหมดไป นอกจากนั้น การใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยทำงานแทนมนุษย์ก็จะลดทุจริตได้
ดังเช่นที่มีการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการอนุมัติของออกจากด่านศุลกากรฟิลิปปินส์
ทำให้การทุจริตของเจ้าหน้าที่ตามโต๊ะต่าง ๆ หมดไป เพราะเครื่องจักรทุจริตไม่เป็น
ท่านผู้มีเกียรติครับ การพูดถึงความร่ำรวยผิดปกติเฉย ๆ โดยไม่พูดถึงสาเหตุและการหาทางขจัดสาเหตุ
ก็เหมือนการบ่นเกี่ยวกับอาการป่วยไข้โดยไม่รักษาสมุฏฐานของโรค ดังนั้น ในวันนี้ ผมจึงขอเชิญชวนให้เราได้ใช้เวลาในการหาสาเหตุอันเป็นสมุฏฐานของโรคร่ำรวยผิดปกติ
และหาวิธีรักษาให้สาเหตุนั้นหายไปได้ ผมเชื่อว่า ถ้าเราร่วมมือกันทั้งสังคม
ไม่เฉพาะปล่อยให้องค์กรตรวจสอบอย่าง ปปช. หรือ คตง. ต้องทำหน้าที่ฝ่ายเดียวเท่านั้น
เราจึงจะขจัดความร่ำรวยผิดปกติได้ ขอบคุณครับ |